คำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจสวนหัวใจ
ศุภลักษณ์ พุทธรักษ์
ผศ.นพ.วรการ พรหมพันธุ์
ศุภลักษณ์ พุทธรักษ์
ผศ.นพ.วรการ พรหมพันธุ์
เป็นการตรวจเพื่อช่วยในการวินิจฉัยหรือรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยการใส่สายสวนขนาดเล็กเข้าทางเส้นเลือดดำหรือแดงบริเวณขาหนีบ ซึ่งสายสวนจะผ่านขึ้นไปยังตำแหน่งต่าง ๆ ของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ จากนั้นแพทย์จะทำการวัดความดันและความอิ่มตัวของออกซิเจนในตำแหน่งต่าง ๆ รวมทั้งฉีดสารทึบรังสี (หรือ “สี”) ซึ่งบันทึกภาพด้วยการถ่ายเอกซเรย์
ประโยชน์จากการตรวจ
1. เพื่อช่วยในการวินิจฉัยเพิ่มเติม ในกรณีที่การตรวจปกติได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง
2. เพื่อการรักษา เช่น
- การใช้ขดลวดอุดเส้นเลือดเกิน (coil embolization)
- การปิดรูรั่วของผนังกั้นหัวใจหรือเส้นเลือดเกิน (devices closure)
- การทำบอลลูนขยายลิ้นหัวใจหรือเส้นเลือดที่ตีบ (balloon valvuloplasty)
- การทำบอลลูนขยายลิ้นหัวใจหรือเส้นเลือดที่ตีบ (balloon valvuloplasty)
การเตรียมตัวก่อนตรวจ
1. โดยทั่วไปแพทย์จะนัดผู้ป่วยมานอนโรงพยาบาลก่อน 1 วัน เพื่อตรวจเลือด คลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์ทรวงอก และเตรียมความพร้อมก่อนการสวนหัวใจ
2. งดอาหารและน้ำ ประมาณ 6 ชั่วโมง ก่อนตรวจ
3. เช้าวันที่ตรวจ จะทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่ทำ(ขาหนีบ) และให้ยานอนหลับ ก่อนส่งห้องตรวจ ประมาณ 30 นาที
4. โดยทั่วไปจะแนะนำให้รับประทานยาที่แพทย์สั่ง ตามปกติ ยกเว้นในรายที่ได้รับยาป้องกันเลือดแข็งตัว เช่น aspirin แพทย์จะแนะนำให้หยุดยาดังกล่าวก่อนประมาณ 1 สัปดาห์
ขั้นตอนการตรวจ
1. ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องดมยาสลบในระหว่างการตรวจ เช่น ในผู้ป่วยเด็กเล็กหรือผู้ป่วยที่ปิดรูรั่วผนังกั้นหัวใจ
2. แพทย์ทำความสะอาดผิวหนัง ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
3. ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดยาชาบริเวณที่จะใส่สายสวน
2. แพทย์ทำความสะอาดผิวหนัง ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
3. ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดยาชาบริเวณที่จะใส่สายสวน
4. ใช้เข็มแทงเส้นเลือดบริเวณขาหนีบ (ดังรูปด้านล่าง) เพื่อใส่สายสวนหัวใจ ผ่านไปยังตำแหน่งต่าง ๆ ของหัวใจ
5. เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจ แพทย์จะดึงสายสวนออกและกดบริเวณที่แทงเส้นเลือด จนเลือดหยุด
เด็กจะมีแผลเล็กๆ ขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ที่ขาหนีบ
เด็กจะมีแผลเล็กๆ ขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ที่ขาหนีบ
การดูแลหลังสวนหัวใจ
วันที่ทำ
1. หลังจากตรวจเสร็จแล้ว ผู้ป่วยจะกลับมาพักฟื้นที่หอผู้ป่วย เพื่อสังเกตอาการ
2. ผู้ป่วยไม่ควรลุกจากเตียงและไม่งอขาด้านที่แทงเส้นเลือด เป็นเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
1. หลังจากตรวจเสร็จแล้ว ผู้ป่วยจะกลับมาพักฟื้นที่หอผู้ป่วย เพื่อสังเกตอาการ
2. ผู้ป่วยไม่ควรลุกจากเตียงและไม่งอขาด้านที่แทงเส้นเลือด เป็นเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
3. หากพบว่า บริเวณที่แทงเส้นเลือดบวม หรือ ขาข้างที่แทงเส้นเลือด ซีดหรือเย็นกว่าปกติควรแจ้ง ให้พยาบาลทราบ
4. ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้รับประทานอาหารได้ตามความเหมาะสม
5. ถ้าปวดแผล สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
5. ถ้าปวดแผล สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
วันรุ่งขึ้น
1. พยาบาลจะเปิดแผลทำความสะอาด และตรวจดูอีกครั้งว่าบริเวณที่แทงเส้นบวมหรือไม่
2. ในผู้ป่วยที่สวนหัวใจเพื่อการรักษา โดยทั่วไป แพทย์จะตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ เพื่อติดตามผลการรักษา ก่อนจะให้ผู้ป่วยกลับบ้าน
3. ในกรณีที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ ยกเว้นบางรายที่ต้องอยู่โรงพยาบาลต่อ เพื่อการผ่าตัด หรือตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม
1. พยาบาลจะเปิดแผลทำความสะอาด และตรวจดูอีกครั้งว่าบริเวณที่แทงเส้นบวมหรือไม่
2. ในผู้ป่วยที่สวนหัวใจเพื่อการรักษา โดยทั่วไป แพทย์จะตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ เพื่อติดตามผลการรักษา ก่อนจะให้ผู้ป่วยกลับบ้าน
3. ในกรณีที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ ยกเว้นบางรายที่ต้องอยู่โรงพยาบาลต่อ เพื่อการผ่าตัด หรือตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม
มีอะไร....เหลือค้างในร่างกายบ้าง ?
1. ในกรณีทำการตรวจเพื่อวินิจฉัย หรือการทำบอลลูน จะไม่มีวัสดุหรือสายเหลือค้างไว้ในร่างกาย
2. ในกรณีทำการอุดหรือปิดรูรั่ว จะมีอุปกรณ์พิเศษค้างอยู่ อุปกรณ์นี้ทำจากวัสดุที่ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย สามารถอยู่ในร่างกายผู้ป่วยไปได้ตลอด
2. ในกรณีทำการอุดหรือปิดรูรั่ว จะมีอุปกรณ์พิเศษค้างอยู่ อุปกรณ์นี้ทำจากวัสดุที่ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย สามารถอยู่ในร่างกายผู้ป่วยไปได้ตลอด
ผลแทรกซ้อนจากการตรวจ
อาจเกิดผลแทรกซ้อนได้ เช่น เลือดออกบริเวณที่เจาะเส้นเลือด เส้นเลือดอุดตัน หัวใจเต้นผิดจังหวะ มีไข้หลังตรวจ ผนังหัวใจทะลุ แพ้สีที่ฉีด อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่กล่าวมานั้น พบได้น้อยมาก และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์และผลแทรกซ้อนที่อาจได้รับแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับประโยชน์จากการตรวจสวนหัวใจมากกว่า